Thursday, December 26, 2019

ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ THE MEANING OF ?IT PRINCESS?

ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ THE MEANING OF ?IT PRINCESS?

ซี ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ เจ้าหญิงแห่งวงการ IT

“สิ่งที่ซีโฟกัสคือ คนไทยเพราะซีต้องการดันคนไทยในความคิดของ ซี ฉัตรปวีณ์ คนไทยต้องได้ก่อน คนไทยต้องฉลาดก่อน คนไทยต้องรู้ก่อน และที่สำคัญที่สุด คือทำอย่างไรให้คนไทยไปสู่ระดับสากล”

 ซี ฉัตร ป วี ณ์ ชุด ชั้น ใน, ซี ฉัตรปวีณ์ ig, ซี ฉัตรปวีณ์ ศัลยกรรม, ซี ฉัตรปวีณ์ pantip, ซี ฉัตร ป วี ณ์ มี ลูก, ซี ฉัตรปวีณ์ ลูก, ซี ฉัตร ป วี ณ์ it, ซี ฉัตรปวีณ์ แต่งงาน, ซี ฉัตรปวีณ์ สามี

หากจะให้พูดถึงเซเลบริตี้บนโลกออนไลน์ของไทย ที่ประชากรบนโลกไซเบอร์นับล้านรู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะ ‘เจ้าหญิงไอที’ ก็คงจะเป็นใครไม่ได้ นอกจาก ‘ซี-ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์’ เพราะเธอได้ชื่อว่าเป็นพิธีกรด้านไอทีหนึ่งเดียวของวงการนี้ ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามจนใครต่อใครต้องหลงรัก รวมถึงรูปแบบการนำเสนอเนื้อหา และวิธีการจัดรายการที่น่าสนใจ ทำให้รายการด้านไอที ทั้งในเชิงวาไรตี้ รวมถึงรายการเชิงข่าวของเธอที่ปรากฏอยู่ในทีวีมีผู้ติดตามจำนวนมาก โดยเฉพาะในเฟซบุ๊คส่วนตัว ‘ceemeagain’ มียอดคลิกไลค์มากถึง121,260 ไลค์ ซึ่งยืนยันได้ถึงความมีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ของเธอได้อย่างชัดเจน’ จะด้วยความดัง หรือความมีอิทธิพลบนโลกออนไลน์อะไรก็แล้วแต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนตั้งคำถามคือ แท้จริงแล้ว ซี-ฉัตรปวีณ์มีความเชี่ยวชาญด้านไอทีจริงๆ หรือไม่ หรือที่ดังได้เป็นเพราะความสวยเพียงอย่างเดียว รวมถึงบทพูดที่เน้นเรื่องเทคโนโลยีขั้นสูงนี้ เบื้องหลังจะถูกจัดฉาก ด้วยการมีคนเขียนสคริปต์ให้เธออ่านด้วยน้ำเสียงและหน้าตาที่น่ารักอย่างเดียวเท่านั้น

นั่นคือสิ่งที่หลายคนอยากรู้ และเป็นเหตุผลสำคัญในการนัดคุยกับ ซี-ฉัตรปวีณ์ อย่างจริงจัง เพื่อตอบข้อสงสัยทั้งหมด มากกว่านั้นเรายังพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่การเริ่มต้นในสายอาชีพสื่อสารมวลชนด้านไอที จริยธรรมด้านสื่อสารมวลชนที่เธอยึดถือ รวมถึงประสบการณ์ด้านการสร้างนวัตกรรมจากประเทศชั้นนำที่เธออยากสะท้อนให้สังคมไทยได้เห็นเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอด

ระยะเวลาเกือบสองชั่วโมงกับคำตอบในคำถามทั้งหมด ที่กลั่นกรองจากความคิดของเธอ สามารถสะท้อนความหมายของคำว่านางฟ้าไอที ที่ไม่ได้มีดีแค่ความน่ารักของดวงตากลมโตเคลือบด้วยคอนแท็คเลนส์บิ๊กอายส์ ปกคลุมด้วยขนตางอนวิบวับได้เป็นอย่างดี และเราเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณจะได้อ่านความคิดคมๆ รวมถึงบทบาทหน้าที่สื่อแบบจริงจังที่สุดของสาวสวยคนนี้

ว่ากันตามตรงด้วยรูปร่างหน้าตาที่สวย คุณสามารถเป็นดาราได้อย่างสบายๆ แถมยังหารายได้ได้มากกว่างานด้านพิธีกรเสียอีก ทำไมคุณถึงเลือกงานด้านนี้ ฉัตรปวีณ์ : ค่ะ เคยมีคนถามว่า ทำไมไม่ไปแสดงละคร แสดงหนัง หรือถ่ายเซ็กซี่นู่นนี่ อาจจะดังกว่านี้เยอะ แล้วดังเร็วด้วย ซีขอตอบชัดว่า ซีไม่ได้อยากดัง ถ้าตราบใดที่ซีต้องดังในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รัก และคนเขาก็ไม่ได้รักในสิ่งที่ซีเป็น ซีขอไม่ดังดีกว่า

คุณกำลังจะบอกว่างานด้านพิธีกรไอที คืองานที่คุณรักที่สุดในเวลานี้ใช่ไหม ฉัตรปวีณ์ : ใช่ค่ะ(ตอบเร็ว)

คุณเริ่มต้นเข้ามาเป็นพิธีกรสาวด้านไอที ที่มีความเชี่ยวชาญได้อย่างไร ฉัตรปวีณ์ : ถ้าจะบอกว่าเริ่มต้นจากงานพิธีกรเลยก็คงไม่ถูกนัก จุดเริ่มต้นของซีจริงๆ เริ่มต้นจากการชอบงานด้านสื่อสารมวลชนมากกว่า เป็นคนชอบงานด้านข่าวมาตั้งแต่สมัยเรียนนิเทศจุฬาฯ แล้ว โดยส่วนตัวก็เป็นคนซีเรียส ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับภาพลักษณ์ ประกอบกับช่วงเวลาที่จะต้องเลือกภาคเรียน ก็เป็นเวลาพอดีกันกับที่ซีได้ไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษ ซึ่งที่พักกับที่เรียนทำให้ซีต้องเดินผ่านสำนักงานของ BBC ทุกวัน ทำให้ได้เห็นการทำงานของนักข่าว แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ได้เห็นว่านักข่าวที่นั่นดูเท่ทั้งด้านบุคลิกภาพ ภาพลักษณ์ รวมไปถึงด้านความคิด เวลาเขายิงคำถามใส่แหล่งข่าวดูฉลาดและมีวิธีคิด ทำให้ซีคิดว่าการเรียนวารสารศาสตร์น่าจะตรงกับสิ่งที่เราอยากเป็นมากที่สุด จึงเลือกเรียนเอกวารสารศาสตร์ ซึ่งได้มีโอกาสฝึกงานเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ที่บางกอกโพสต์ โต๊ะข่าว Horizon รวมถึงสำนักข่าวเอพี ประจำประเทศไทย มันได้ฝึกทักษะทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานด้านสื่อสารมวลชนวันที่จบออกมาจึงคิดว่างานที่อยากทำก็ต้องเป็นงานด้านหนังสือพิมพ์เป็นอันดับแรก ไม่ใช่งานพิธีกรค่ะ

 ซี ฉัตร ป วี ณ์ ชุด ชั้น ใน, ซี ฉัตรปวีณ์ ig, ซี ฉัตรปวีณ์ ศัลยกรรม, ซี ฉัตรปวีณ์ pantip, ซี ฉัตร ป วี ณ์ มี ลูก, ซี ฉัตรปวีณ์ ลูก, ซี ฉัตร ป วี ณ์ it, ซี ฉัตรปวีณ์ แต่งงาน, ซี ฉัตรปวีณ์ สามี

แล้วจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณเข้ามาสู่งานด้านพิธีกรคืออะไร ฉัตรปวีณ์ : จุดเปลี่ยนเริ่มต้นช่วงใกล้จบตอนสมัครงานที่บางกอกโพสต์ แต่ที่นั่นยังไม่รับตำแหน่งใหม่ ก็ตัดสินใจว่าจะลองหาอะไรทำดูเพื่อรอโอกาส ซึ่งในช่วงนั้นมีงานถ่ายโฆษณา มิวสิกวิดีโอบ้างประปราย รวมถึงงานพิธีกรรายการทีนทอล์ค แต่การเข้ามาสู่การเป็นพิธีกรด้านไอทีนี่คือโอกาส เพราะบังเอิญมีรุ่นพี่ของเราเขาบอกว่ามีรายการที่ต้องการพิธีกรหญิงในรายการไอทีที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เขารับแคสติ้งอยู่ ซีเลยลองไปแคสต์ดูแล้วก็ได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นในสายไอทีค่ะ

เรื่องไอทีอาจจะเป็นเรื่องยาขมของผู้หญิง คุณมีวิธีการสร้างความสนใจเรื่องดังกล่าวนี้อย่างไร ฉัตรปวีณ์ : สำคัญที่ตัวโปรดิวเซอร์ค่ะ เขามีวิธีพูดที่ทำให้เราสนใจ และนำสิ่งเหล่านั้นมาถ่ายทอดให้พิธีกรแบบง่ายๆ ซึ่งต่างจากกูรูด้านไอทีที่ซีเจอ เขาจะอธิบายยากมาก และบังเอิญช่วงที่ซีเข้าไปทำเป็นช่วงแนะนำเกี่ยวกับแก็ดเจตน่ารักๆ แล้วเขาก็แนะนำการนำเสนอโดยปล่อยให้ซีแนะนำในแบบตัวเอง เราเลยเริ่มฝึกจากรายการเคเบิ้ลทีวีเล็กๆ จากการทำรายการ 7 นาที มีสคริปต์จริงๆ 1 นาที ที่เหลือด้นเอาเอง ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ทั้งการพูด การเขียนสคริปต์ รวมถึงเรื่องไอทีในเชิงลึก ยิ่งรู้ก็ยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

เรื่องยากที่สุดในการเป็นสื่อสารมวลชนสายไอทีของคุณ ฉัตรปวีณ์ : ในงานสายนี้มันยากทุกอย่างค่ะ เพราะว่าเรื่องไอทีเป็นเรื่องยาก การที่จะพูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้ คุณต้องแตกฉานกับเทคโนโลยี เพราะถ้าคุณไม่แตกฉานกับมันแล้ว คุณก็จะพูดเหมือนกับอ่านสคริปต์ เพราะฉะนั้นการที่เราจะแตกฉานในแต่ละเรื่องได้เราต้องเจอตัวจริงของเรื่องนั้นๆ แต่บางทีเจอตัวจริงที่เก่งเกินไปเขาอธิบายให้เราฟังอึ้งไปเลยก็มี เพราะข้อมูลของเขามีมาก อธิบายทีสมองเราเหมือนถูกถล่มด้วยข้อมูลโดยที่เราไม่มีพื้นฐานจนจับประเด็นไม่ถูก นี่อาจจะเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของซีก็ได้ เพราะซีได้ฟังข้อมูลมา ก็จะสามารถเข้าใจภาวะของคนที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับไอที แล้วเราจะนำเสนอเรื่องแบบนี้ คนดูเหล่านั้นต้องรู้แค่ไหนพอในระดับคนปกติ เพราะว่ากูรูเหล่านั้นเขารู้ทุกอย่างจริงๆ

แล้วเราสามารถเรียกคุณว่า ‘กูรู’ ได้หรือไม่ ฉัตรปวีณ์ : เอาจริงๆ ซีไม่ชอบให้ใครมาเรียกว่ากูรูนะ เพราะซีเคยเจอคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นกูรูจริงๆ เขาเทพมาก ระดับที่ไม่ใช่แค่ประกอบคอมฯ ได้ แต่คนเหล่านี้รู้ลึกทุกรายละเอียด ชิปเซตบางอย่างเราแค่ชี้เขาก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไร ตัวซีเองน่ะแค่เด็กๆ ดังนั้นงานของซี จึงไม่ไปจุ้นจ้านกับเรื่องบางอย่างที่เราไม่ถนัด เพียงแต่ทำในขอบข่ายของการบอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับไอทีที่คนปกติควรรู้ หรือแจ้งเตือนเพื่อไม่ให้มิจฉาชีพด้านออนไลน์หลอกคุณ หรือบอกข้อป้องกันการโดนแฮกข้อมูลก็เท่านั้น

แล้วกับคำยกย่องให้เป็น ‘เจ้าหญิงไอที’ คุณคิดอย่างไรกับคำชมนี้ ฉัตรปวีณ์ : ก็ดีใจนะคะ (ยิ้ม) เพราะซีไม่ได้คาดหวังอะไร คือการที่เราไม่คาดหวัง แล้วพอมีคนเอามงกุฎมายื่นให้เป็นเจ้าหญิงไอทีมันก็ตกใจนะ แต่ก็ดีใจ มีความสุขจากการที่คนยอมรับ แต่แน่นอนว่าทั้งนี้ ทั้งนั้นก็ไม่ยึดติด เพราะซีเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่โชคดี ที่งานของเรามีคนเห็น เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เหลิงกับคำพูดเหล่านี้ แล้วก็มีความคิดที่อยากจะพัฒนางานของตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน

ย้อนกลับมาที่เรื่องงาน ทราบว่าในรายการของคุณ คุณทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ด้วยตัวเองใช่ไหม ฉัตรปวีณ์ : ใช่ค่ะ (ตอบเร็ว) เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันเฉพาะแฟนคลับเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะมันมาถึงช่วงเวลาที่เราต้องมาเป็นผู้ผลิตเอง เขียนสคริปต์เอง เพราะโปรดิวเซอร์ออกไป ซีเลยต้องทำหน้าที่ที่เขาทำทุกอย่าง พอทำเองจึงได้เห็นคุณค่าของสคริปต์ว่ามันยากมากในการเขียน เพราะกว่าจะเขียนได้ ไม่รู้ต้องอ่านข้อมูลกี่เว็บ กว่าทำจะออกมาเป็นสคริปต์ ตอนแรกคิดว่ามันง่ายๆ เพราะด้วยความที่เป็นแค่พิธีกร เขายื่นสคริปต์มาเราก็อ่านๆ ไป คือไม่ค่อยสนใจด้วยซ้ำ แต่พอได้ลองมาทำสคริปต์เอง ถึงได้รู้ว่านี่เป็นสิ่งสำคัญ มันยากมาก ทำให้เราใส่ใจมากขึ้น ก็เลยเริ่มทำเว็บบล็อก อ่านจบเมื่อไหร่ก็เกลาเป็นภาษาเขียนโยนเข้าไปในบล็อกส่วนตัว ก็เริ่มมีคนอ่าน มีคนสนใจ ทำให้คนในสายไอทีเริ่มเชิญไปงานด้านไอทีมากขึ้นเรื่อยๆ

คนในสายไอทีเขาไม่แปลกใจหรือ ที่ผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณจะมีความรู้เรื่องไอทีในเชิงลึก ฉัตรปวีณ์ : ในช่วงที่ทำสคริปต์ ทำให้ซีได้รับความรู้เรื่องไอทีมากๆ ซึ่งก็คุ้มกับการที่ต้องนอนตีสองเขียนสคริปต์เพื่อมาจัดรายการตอนแปดโมงเช้า มันเป็นคุณูปการที่ทำให้เราสื่อสารกับคนที่เชี่ยวชาญเวลาที่เราต้องไปออกงานอีเวนต์ด้านไอที เพราะแน่นอนว่าภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่แต่งตัวเยอะๆ ไม่น่าจะรู้ลึกทางเทคนิคด้านวิศวะไอที บางทีไปเจอคนเหล่านี้ก็จะแปลกใจในตัวเรา และอาจคิดว่าไม่ได้ชอบจริง ดังนั้นซีก็จะโดนลองภูมิ หยั่งเชิงกันตลอดเวลา แต่ซีก็เป็นคนสบายๆ นะ อะไรไม่รู้ก็ยอมรับไปตรงๆ ไม่จำเป็นต้องทำตัวฉลาดตลอดเวลาเพื่อให้คนมาลองภูมิ

แล้วหน้าที่สำคัญที่สุดสำหรับสื่อสารมวลชนด้านไอทีในความคิดคุณคืออะไร ฉัตรปวีณ์ : แน่นอนค่ะ ถึงบทบาทของซีจะเน้นหนักในด้านพิธีกร แต่เนื้อแท้แล้วมันคืองานสื่อสารมวลชน ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การทำตัวเป็น Watch Dog ที่ดีในประเด็นที่สื่อสารให้คนทั่วไปรู้ถึงความจำเป็นของการใช้งาน เพราะถ้ามองให้ลึกถึงภาพรวมย่อยๆ เรามีคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ ดังนั้นคุณต้องรู้ก่อนว่าคุณจะใช้เพื่ออะไร นี่คือหน้าที่ของซี อีกส่วนหนึ่งในด้านการนำเสนอ ซียังจำคำที่อาจารย์เคยสอนว่า “เมื่อคุณเป็นสื่อ คุณไม่รู้หรอกว่าคุณพูดแล้วมีคนฟังคุณอ่านงานคุณมากน้อยแค่ไหน” แต่อาจารย์จะย้ำเสมอว่า “จงอย่าให้สิ่งที่เป็นมลภาวะแก่ผู้อื่น ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอะไร คอมเมนต์อะไร ให้ตระหนักตลอดเวลาว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ เพราะการเป็นสื่อที่ดีนั้นไม่ได้วัดกันที่ความเก่งกาจในการสัมภาษณ์ หรือการเขียนที่มีชั้นเชิง จริยธรรมต่างหากที่สำคัญ”

จริยธรรมในการนำเสนอของคุณมีเนื้อหาสาระอย่างไร ฉัตรปวีณ์ : โดยรวมคงเหมือนสื่อทั่วไป ที่เป็นเรื่องของการห้ามพาดพิงให้คนอื่นเสียหาย อย่างบางคนที่เป็นบล็อกเกอร์ชื่อดัง เขาแสดงความคิดเห็นอะไรก็มีคนเห็นด้วย มี Follower เยอะ ก็เริ่มคิดว่าตัวเองมีอิทธิพล เริ่มที่จะแสดงความคิดเห็นด้านลบ ใส่อารมณ์เข้าไปเยอะเพื่อความสะใจหรือให้คนชอบ ซึ่งซีคิดว่าถ้าเราเป็นสื่อ เราต้องคิดเยอะมากก่อนที่จะแสดงความคิดเห็น แน่นอนว่าคนเราก็ต้องมีผิดพลาดบ้างหรือทำอะไรที่ไม่ถูกใจบางคน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตามที่อาจารย์ซีเคยสอน ถ้าเราไม่ใช่สื่อทางการเมือง เราก็จะไม่พาดพิงเรื่องการเมือง เรื่องศาสนา และสถาบัน นี่คือจริยธรรมของซี สามเรื่องนี้เองที่ทำให้คนขัดแย้งกันมาก เอาเป็นว่าเรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ และสิ่งที่ทำเกิดขึ้นจากเจตนาที่ดีในการสื่อสิ่งดีๆ ออกไป

บนโลกออนไลน์มีคนมาให้คุณแสดงจุดยืนทางด้านการเมืองบ้างไหม ฉัตรปวีณ์ : มีเรื่อยๆ นะ ซีจะไม่เสนอความเห็น เพราะว่าการที่เราพูดออกไปเราไม่รู้ว่าเขาจะเอาคำพูดเราไปพูดซ้ำแบบไหน หากไม่ตรงกับเจตนาของเราก็เกิดผลเสียกับเราในฐานะสื่อ ที่ต้องมีความน่าเชื่อถือและอยู่ในพื้นที่แจ้งก็เลยลำบากมากที่เราจะเสนอความคิดเห็นในสามเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซีไม่สนใจการเมืองนะคะ เพราะนี่คือเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง

 ซี ฉัตร ป วี ณ์ ชุด ชั้น ใน, ซี ฉัตรปวีณ์ ig, ซี ฉัตรปวีณ์ ศัลยกรรม, ซี ฉัตรปวีณ์ pantip, ซี ฉัตร ป วี ณ์ มี ลูก, ซี ฉัตรปวีณ์ ลูก, ซี ฉัตร ป วี ณ์ it, ซี ฉัตรปวีณ์ แต่งงาน, ซี ฉัตรปวีณ์ สามี

ถามตรงๆ ในฐานะสื่อสารมวลชนด้านไอที ประเด็นทางการเมืองอะไร ที่คุณสนใจและจับตามองเป็นพิเศษ ฉัตรปวีณ์ : ในขอบข่ายงานด้านไอทีที่ซีทำอยู่สอดคล้องกับการกำหนดนโยบายของกระทรวงไอซีที ซีต้องรู้ อย่างนโยบายแท็บเลตพีซีที่แจกให้เด็ก ป.1 ประเด็นนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองว่าใครดีหรือไม่ดี แต่สิ่งที่ซีสนใจคือสิ่งที่รัฐให้กับประชาชนคืออะไร เพราะซีคือนักข่าว เราต้องรักษาสิทธิ์ของประชาชน ด้วยการตรวจสอบการทำงานหรือโครงการของรัฐอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งที่อยากรู้คือทำไมต้องแจกเด็ก ป.1 ซีเขียนคอลัมน์ถึงนโยบายนี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นออกไปประมาณ 3-4 ครั้ง รวมถึงนำเสนอประเด็นนี้ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ว่าเด็ก ป.1 มีความพร้อมมากแค่ไหน ถามไปตรงๆ กับท่านรัฐมนตรีอนุดิษฐ์

คำตอบที่ได้จากท่านรัฐมนตรีอนุดิษฐ์คืออะไร ฉัตรปวีณ์ : ท่านรัฐมนตรีก็ตอบดีนะคะ ท่านให้เหตุผลว่าระดับโลกเขาวิจัยมาแล้ว เปรียบเทียบกับการอนุบาลปลาตัวเล็กๆ เราก็ต้องเลี้ยงตั้งแต่เล็กให้เขาเข้าใจว่าการใช้ที่ถูกมันเป็นอย่างไร แต่นี่คือทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติเราต้องดูต่อไปว่าเด็กเหล่านี้จะใช้อย่างไร เพราะท้ายที่สุดเขาให้มามันก็ดีกว่าไม่ให้จริงไหม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นซีก็มีข้อเสนอแนะกลับไปว่า แท็บเลตพีซีนี้เป็นของจีน ถ้าเกิดต้องเสียงบประมาณมากเพื่อซื้อ เรามีโรงงานในไทยที่ผลิตไหม อาจจะแพงกว่าจีนในวันนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ชิพเซตมีการอัพเกรด แล้วเรามีโรงงานของเราเองก็สามารถนำมารีไซเคิล อัพเกรดได้ ของพวกนี้ก็จะไม่กลายเป็นขยะอิเลกทรอนิกส์ที่ตกรุ่น และเป็นการลงทุนในระยะยาว นี่เป็นหน้าที่ของซี ที่ไม่ได้แค่ถามและติดตามนโยบายแล้วจบ ถ้าเราคิดว่ามันไม่ดี เราต้องเสนอว่ามันไม่ดีอย่างไร ดังนั้นซีต้องดูและรู้ให้หมด ก็พยายามติดตามเท่าที่จะทำได้

“ถ้าเราไม่คิดและตั้งคำถามกับชีวิตรอบข้าง รวมถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น เราจะไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรได้เลย”

นอกเหนือจากการติดตามนโยบายรัฐบาลรวมถึงการอัพเดทเทคโนโลยีแล้ว หน้าที่เพิ่มเติมของสื่อสารมวลชนด้านไอทีมีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ฉัตรปวีณ์ : งานอีกส่วนหนึ่งของซีคือ การเปิดพื้นที่นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องนวัตกรรมด้านไอทีของคนไทย อย่างกลางปีที่ผ่านมามีเรื่องของ Tech Start-up มีการจับกลุ่มกันของเด็กรุ่นใหม่ของไทย ที่ตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อทำแอพพลิเคชั่น นี่คือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซีก็ไปช่วยสนับสนุนโดยที่ไม่คิดค่าใช้จ่าย ด้วยใจที่อยากให้คนไทยได้เกิด เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนไทยคือ คุณกระทิง พูนผล ที่ไปดังที่ซิลิคอนวัลเลย์ ได้ไปทำงานกับกูเกิลแล้วออกมาเปิดบริษัทที่ซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งเขาเป็นคนไทยเพียงไม่กี่คนที่แยกออกมาแล้วสามารถเปิดบริษัทในระดับพันล้านขายเกมให้กับคนทั้งโลก เมื่อปีที่แล้วเขาก็มาเปิดหลักสูตรในประเทศไทย ซีก็ช่วยโปรโมตให้คนไปลองเรียนดู ซึ่งจะได้ทั้งไอเดีย และคอนเนกชั่น ปัจจุบันคอร์สเหล่านี้มีเยอะ ที่จัดกับซิปป้า และสำนักนวัตกรรมฯ ซีก็ทำการเสนอเพื่อให้คนที่ทำธุรกิจแบบนี้ได้ความรู้และโอกาสทางธุรกิจกลับไป

ในด้านการเปิด AEC ซึ่งเทคโนโลยีไอทีมีส่วนสำคัญ คุณมีการสร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบรับกับ AEC ให้แก่คนไทยไหม ฉัตรปวีณ์ : ซีว่าทั้งคอนเทนต์และการนำเสนอในรายการ เนื้อหาสอดคล้องกับ AEC อยู่แล้ว ซึ่งในส่วนเพิ่มเติมอาจจะต้องเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้นเอง ทั้งนี้ถ้าจะต้องสร้างคอนเทนต์เพื่อโปรโมตประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เขาได้งานได้อาชีพซีจะไม่ทำ เพราะสิ่งที่ซีโฟกัสคือคนไทย เพราะซีต้องการผลักดันคนไทย ในความคิดของซีคนไทยต้องได้ก่อน คนไทยต้องฉลาดก่อน คนไทยต้องรู้ก่อน และที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้คนไทยไปสู่ระดับสากล และถ้าซีสามารถทำให้คนไทยประสบความสำเร็จ ซีเองก็จะรู้สึกประสบความสำเร็จตามไปด้วย

การส่งเสริมด้านไอทีของภาครัฐในวันนี้เป็นอย่างไรในสายตาของคุณ ฉัตรปวีณ์ : บ้านเราอยู่ในช่วงเริ่มต้น แล้วก็กำลังทำอยู่ ทั้งกระทรวงวิทย์ฯ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องก็พยายามดันกันน่าดู ถ้าเราได้ติดตามข่าวก็จะรู้ว่าในปีที่ผ่านมา ภายในงาน Computex Asia จะเห็นหน่วยงานของกรมส่งเสริมการส่งออกซึ่งพยายามที่จะสนับสนุนให้คนทำแอพฯ ขึ้นมา โดยให้เงินสนับสนุนให้ผู้ประกอบการด้านนี้ไปออกบูธงานสิงคโปร์ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถพบกับนักลงทุนจากต่างประเทศจนหลายรายสามารถขายงานของเขาได้ เป็นทางหนึ่งของการช่วยผลักดันอุตสาหกรรมไอทีของไทย

ในประเด็นของการสนับสนุนจากทางภาครัฐ มีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน ฉัตรปวีณ์ : สำคัญมากค่ะ (เน้นเสียง) ยกตัวอย่างประเทศจีน ที่รัฐบาลยอมลงทุนเป็นพันล้านเพื่อสร้างระบบปฏิบัติการของตนเองขึ้นมา โดยไม่ต้องพึ่งพากูเกิล มีหรือที่จะมีคนกล้าคิดขนาดนั้น ซึ่งคิดออกมามันเวิร์คหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่รู้ว่ามีใช้ของตัวเอง ยูทูปเขาก็ไม่ใช้ ก็จะไปใช้ของที่ผลิตเองอย่าง Youku ซึ่งการทำแบบนี้ไม่ธรรมดา เขาคิดเร็วทำเร็วแล้วไม่พึ่งพิงใคร เพราะสิ่งสำคัญที่ซีจะชี้ให้เห็นคือ วิธีคิดที่กล้าลงทุนในระดับนี้ ที่เกิดขึ้นจากการเห็นความสำคัญ แล้วถ้ารัฐฯ ให้ความสำคัญอย่างไรเสียคนในชาติก็ต้องตาม พอตามแล้วก็จะเกิดการพัฒนาอะไรอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นมาข้างเคียง จนสามารถดัดแปลงไปสร้างธุรกิจได้เงินมหาศาล ซึ่งเป็นผลดีของชาติต่อไปในอนาคต นี่คือความสำคัญที่ซีอยากจะเน้นให้เห็นถึงความสำคัญในเรื่องของเทคโนโลยี ที่ในวันนี้มันคือส่วนหนึ่งที่สำคัญในการใช้ชีวิต

ในประเด็นของเทคโนโลยีที่เกี่ยวพันกับการใช้ชีวิต ในฐานะที่คุณต้องไปร่วมงานอีเวนต์ในต่างประเทศบ่อย คนที่นั่นเขาใช้เทคโนโลยีร่วมกับชีวิตประจำวันอย่างไร ยกตัวอย่างประเทศอเมริกา ฉัตรปวีณ์ : เวลาคนอเมริกาเขาอยู่ในร้านกาแฟ หรือในที่อื่นๆ เราจะไม่เห็นเขาหมกมุ่นอยู่กับมือถือมากเท่าไหร่ เพราะเขาจะให้ความสำคัญกับสิ่งรอบข้างมากกว่า แล้วก็แบ่งเวลาในการใช้เทคโนโลยีได้ดีมาก ทั้งที่ประเทศเขามีคนคิดค้นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกได้อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ที่ชัดเจนที่สุดนั่นคือประเพณีของคนยิว คือเขาจะมีวันหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่เรียกว่าวัน Shabat เป็นวันที่ห้ามแตะอุปกรณ์ไอที หรือห้ามแตะอุปกรณ์อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับไฟฟ้า ในวันนั้นคนยิวทุกคนจะต้องไปเจอกันที่สวนสาธารณะเพื่อปิกนิก และใช้ชีวิตกับครอบครัว เพราะว่าชนชาติยิวเน้นการใช้ชีวิตแบบคอมมิวนิตี้ ซึ่งเป็นหลักคิดที่ดี เพราะซีเชื่อว่าเราจะใช้ชีวิตได้อย่างไร ถ้าปราศจากญาติสนิทมิตรสหายรอบตัว เป็นเรื่องน่าสนใจและเป็นเรื่องแปลกที่เขาเรียกร้องการใช้ชีวิตแบบคนจริงๆ แต่กลับสามารถคิดค้นเทคโนโลยีที่มหัศจรรย์ได้ ซึ่งนี่อาจจะเป็นเบื้องหลังวิธีคิดในการสร้างเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจากการเว้นว่างจากการใช้เทคโนโลยี

การเว้นว่างจากเทคโนโลยีทำให้คนยิวคิดค้นนวัตกรรมได้อย่างไรในความคิดคุณ ฉัตรปวีณ์: การปล่อยวางอาจจะทำให้ได้คิดอะไรอื่นๆ ทั้งยังได้เสริมความคิดสร้างสรรค์จากการใช้ชีวิต ให้รู้ว่าการใช้ชีวิตคืออะไร เพราะถ้าเราไม่คิดและตั้งคำถามกับชีวิตรอบข้าง รวมถึงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น เราจะไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรได้เลย เพราะถ้ามัวแต่เล่นไร้สาระ จงอย่าเป็นผู้ผลิต อย่างดีคุณก็เป็นได้แค่ผู้ใช้ คุณจะไม่สามารถคิดได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป รวมถึงไม่สามารถรู้ได้ว่าชีวิตมนุษย์จริงๆ ต้องการอะไร ซึ่งคนยิวเขาอาจจะมองเห็นด้วยหลักคิดแบบนี้ รวมถึงวิธีคิดของอเมริกานั่นคือการกล้าฆ่าเทคโนโลยีของตัวเอง โดยไม่ห่วงความเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจนี้ของตัวเอง จึงทำให้เขามีการรวมกลุ่มกันของคนคิดค้นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ อย่างกลุ่ม Kick Starter ที่เปิดโอกาสให้คนนำเสนอไอเดียด้านนวัตกรรม แล้วถ้ามันน่าสนใจก็จะมีคนให้เงินทุนสนับสนุน โดยให้นำไปผลิต นี่ก็เป็นโอกาสที่เปิดให้เสมอ

แล้วกับประเทศญี่ปุ่น เขามีหลักคิดแบบใดในการสร้างนวัตกรรมเท่าที่คุณได้เห็นมา ฉัตรปวีณ์ : นี่เป็นคำถามที่ดีมากค่ะ (ตอบเร็ว) ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเป็นชาตินิยมสูงมาก เขาจะใช้แต่เทคโนโลยีที่ประเทศตนเองผลิตเท่านั้น เขาเชื่อในสินค้าของเขาและจะซื้อแต่สินค้าของเขา อย่างโทรศัพท์มือถือ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะใช้ยี่ห้อ Docomo ที่เขาผลิตเอง ซึ่งมีดีไซน์และรูปแบบวิธีการใช้ที่น่ารักมาก และเมื่อมีคนใช้มากก็ต้องมีคนทำเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้งานของตนเอง ทำให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้และได้ฝึกคิด นี่น่าจะเป็นเบื้องหลังวิธีคิดในการสร้างเทคโนโลยีของเขาย้อนกลับมาที่บ้านเราที่ไม่สามารถผลิตแบบนี้ได้ เรื่องแบบนี้จึงยังไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วซีคิดว่าเราต้องเชื่อในสิ่งที่คนไทยทำเป็นอันดับแรก ในช่วงเริ่มต้นมันไม่มีอะไรดีหรอก แต่ถ้าวันหนึ่งเราผลิตจนได้มาตรฐานแล้วคิดถึงคนใช้ ส่วนคนใช้คิดถึงผู้ผลิตว่าถ้าไม่ดีเราก็บอกคนผลิตว่ามันไม่ดีอย่างไร ทุกอย่างตอบโต้กันไปเรื่อยๆ จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่เริ่มต้นก็คงต้องเชื่อในสิ่งที่คนของเราสร้างขึ้นมาก่อน

แล้วอย่างประเทศเกาหลีใต้ มีความเหมือนหรือแตกต่างกับญี่ปุ่นหรือไม่ ฉัตรปวีณ์: เกาหลีใต้อาจจะคล้ายกัน บางอย่างอาจยิ่งกว่าด้วยซ้ำ อย่างเช่น Samsung ก็มีรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ถ้าธุรกิจไหนที่รุ่งก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนจีดีพีในประเทศ ทุกครั้งที่เราซื้อโทรศัพท์มือถือ เงินก็จะเข้าประเทศเขา ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่รัฐบาลเขาจะผลักดันอย่างเต็มสูบ และมีเมืองซัมซุง มีการอัดโฆษณาสินค้าเต็มที่เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้ทั่วโลก มีหรือคะที่จะไม่เกิด

 ซี ฉัตร ป วี ณ์ ชุด ชั้น ใน, ซี ฉัตรปวีณ์ ig, ซี ฉัตรปวีณ์ ศัลยกรรม, ซี ฉัตรปวีณ์ pantip, ซี ฉัตร ป วี ณ์ มี ลูก, ซี ฉัตรปวีณ์ ลูก, ซี ฉัตร ป วี ณ์ it, ซี ฉัตรปวีณ์ แต่งงาน, ซี ฉัตรปวีณ์ สามี

ในอนาคตเป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นไปทัดเทียมกับทั้งสามประเทศ ในแง่ของการสร้างนวัตกรรมด้านไอที ฉัตรปวีณ์: ถ้าเริ่มแล้วก็น่าจะมี แต่ในวันนี้อาจจะมีไม่มากนัก วันนี้เราอาจจะมีบริษัทผลิตหุ่นยนต์ในประเทศไทย แต่ก็ยังเทียบชั้นไม่ได้กับทั้งสามประเทศที่ซีได้กล่าวไป แต่ถ้าวัดกันเฉพาะจุด เฉพาะบุคคลแล้วฝีมือคนไทยไม่แพ้ใคร แต่ว่าทุนในการสนับสนุน รวมถึงความจริงจังอาจจะมีไม่มากอยู่ หรืออาจจะมีคนที่จริงจังทำจนสำเร็จออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะไปขายใคร หรือไม่มีคนมาสนับสนุน มันจะไปสร้างเป็นอาชีพได้อย่างไร จริงไหม? สิ่งที่สร้างขึ้นมาก็ต้องตอบโจทย์ทั้งสองฟากในภาคการลงทุนนั้น สำหรับเด็กรุ่นใหม่ ถ้าซีเห็นว่าทำอะไรแล้วเข้าท่าซีเต็มใจที่จะโปรโมตให้ ส่วนในภาคผู้ผลิตเองก็ต้องคิดด้วยว่าทำออกมาแล้วจะขายใคร

ประเทศไทย คนไทยมีความตื่นตัวด้านเทคโนโลยีมากน้อยแค่ไหนในความคิดคุณ ฉัตรปวีณ์: มีมากค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นในพาร์ทของการเป็นผู้ใช้ คุณเชื่อไหมว่า 3G เกิด อัตราการใช้งานพุ่งปรี๊ดชนะบางประเทศที่เขามีก่อนเราเสียอีก เพราะฉะนั้นถ้าในพาร์ทการเป็นผู้ใช้เราไม่แพ้ใคร ขอให้มีมาเถอะรับรองใช้แน่นอน แล้วไม่ช้าด้วย คือคนไทยใช้เก่ง แต่ในอีกด้านหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือพาร์ทของการเป็นผู้ผลิต คือนโยบายก็ต้องเลิกยึดติดได้แล้ว เพราะเทคโนโลยีก้าวขึ้นไปแล้ว บางอย่างก็ต้องไม่ละเลย อย่างการรักษาความปลอดภัย ซึ่งประเด็นนี้เป็นเอง ที่ซีเน้นมากหลังจากที่ได้เขาไปช่วยงานของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ แต่พอเราเห็นการทำงานแล้วก็เป็นห่วงเพราะสำนักงานนี้มีเรื่องที่ต้องดูแลอีกมาก เพราะตราบใดที่คนบันทึกข้อมูลทุกอย่างผ่านสมาร์ทการ์ดเรื่องมันจะตามมาอีกเยอะเลย ถ้าเราดูแลความปลอดภัยกันไม่ดี ซีว่าแฮกเกอร์คือโจรที่น่ากลัวที่สุด

แล้วผู้หญิงส่วนใหญ่ในบ้านเราใช้เทคโนโลยีเพื่อรองรับความต้องการด้านใดเท่าที่คุณสังเกต ฉัตรปวีณ์ : ผู้หญิงส่วนใหญ่ทั้งโลกไม่ได้จำกัดแค่ผู้หญิงไทยเห็นเทคโนโลยีเป็นแฟชั่น เพื่อนมีใช้ฉันก็ต้องมี คือผู้หญิงเห็นเทคโนโลยีเป็นเรื่องสนุก เป็นโซเชียล เน็ตเวิร์คค่ะ

อัตราการใช้เทคโนโลยีในชีวิตคุณเป็นอย่างไร แล้วใช้เพื่ออะไร ฉัตรปวีณ์ : ไม่นับเป็นชั่วโมงนะ แต่ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์จะอยู่ที่ 40% ต่อหนึ่งวัน ซึ่งอาจจะดูว่ามาก เพราะเทคโนโลยีเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการทำงานของซี ส่วนหนึ่งเพื่อพีอาร์ตัวเอง แต่ก็เป็นการพีอาร์ที่ให้ข้อมูลคนอื่น และเวลาที่ซีมีไอเดียหรือพบอะไรเจ๋งๆ ซีก็จะถ่ายตัดต่อๆ แล้วโพสต์ ซึ่งถามว่าซีอยากดังคงไม่ใช่ ประเด็นสำคัญคือการได้บอกอะไรกับคนดู และได้แชร์ในสิ่งเจ๋งๆ ให้ทุกคนได้ดูมากกว่า

My Idol ฉัตรปวีณ์ “สมเด็จพระเทพฯ ท่านคือไอดอลของซี ท่านเป็นเจ้าฟ้าไอทีของคนไทยจริงๆ เพราะท่านทรงเล็งเห็นประโยชน์ในการนำไอทีมาใช้ในการเสริมสร้างโอกาสและพัฒนาคุณภาพชีวิตของพสกนิกร ถ้าเคยไปที่สวนจิตรลดา พระองค์ท่านมีแลบของตัวเองเลยนะคะ มีปั๊มน้ำมันในวัง ซีเห็นแล้วช็อกมาก ไม่ธรรมดาจริงๆ ซีคิดว่าท่านมีพระอัจฉริยภาพและเป็นต้นแบบให้แก่เรา ดังนั้นไอดอลของซีก็คงต้องเป็นเจ้าฟ้าไอทีพระองค์นี้ค่ะ”

ในวันนี้คุณสามารถอยู่ได้โดยไม่มีอุปกรณ์ไอที หรืออินเตอร์เน็ตได้หรือไม่ ฉัตรปวีณ์: ได้ค่ะ แต่คงเป็นชีวิตในวันพักที่หยุดทำงาน คือในวันหยุดนี่ซีแทบไม่แตะอุปกรณ์เลยนะคะ หรือวันอื่นที่รู้สึกว่าเบรคเถอะ ไปเที่ยวก็จะไม่จับ เพราะการที่ไม่ยุ่งกับอุปกรณ์ทำให้ซีได้สังเกตคน หันไปมองโต๊ะข้างๆ ว่าเขาทำอะไร หรือบางทีอยู่บนเวที ซีก็ชอบสังเกตว่าแต่ละที่คนยกโทรศัพท์อะไรขึ้นมาถ่ายเรา เราเห็นบางอย่างที่น่าเรียนรู้มากกว่าอยู่ในจอ เพราะซีเชื่อว่าซีพลาดสิ่งดีๆ หลายอย่างตอนที่มองจออยู่โดยไม่จำเป็น ดังนั้นซีอยู่ได้แน่นอนโดยไม่มีอุปกรณ์ แต่วันนั้นต้องเป็นวันที่ไม่มีการทำงาน เพราะอาชีพซีเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และตามติดการเปลี่ยนแปลงให้ทัน

เคยได้วางแผนชีวิตไว้หรือไม่ ว่าคุณจะทำงานพิธีกรด้านไอทีไปอีกนานแค่ไหน ฉัตรปวีณ์: ก็จะทำไปเรื่อยๆ เพราะนี่คืองานที่ซีรักและหลงใหล แต่ในอนาคตที่ไกลออกไปจากนี้อยากจะพัฒนางานของตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน จนถึงอยากสร้างเด็กรุ่นใหม่เป็นทีมของเรา เพื่อปลูกฝังความคิดดีๆ แล้วให้เขานำเสนอข้อมูลเหล่านี้ในแบบเขา โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหญิงไอทีก็ได้ หรืออาจจะเป็นรุ่นถัดไปก็ได้ ซึ่งมันคงจะเป็นเรื่องดีถ้าเราสามารถสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นกับคนรุ่นต่อไปได้

ถ้ามีโอกาสในตอนนี้ ใครคือคนที่คุณอยากนั่งสนทนาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านไอทีมากที่สุด ฉัตรปวีณ์ : มีหลายคนมาก แต่อยากคุยกับ สตีฟ จ็อบส์ นะคะ นั่นเป็นจุดหมายสูงสุดในการทำงานสายนี้ของซีเลย อยากรู้ว่าเขาเป็นปิศาจเหมือนกับที่หนังสือประวัติเขาเขียนหรือไม่ แต่ซีคิดว่าบางทีคนเก่งกับคนดี หรือคนที่เป็นที่รักก็ต่างกันออกไป ซึ่งถ้าสตีฟ จ็อบส์ เขาไม่เขี้ยวหรือไม่ร้ายกาจมากๆ บางทีก็อาจไม่สามารถทำให้ทุกคนคิดเหมือนเขาได้ เพราะในเมื่อเขาต้องบังคับให้เทคโนโลยีหนึ่งสำเร็จขึ้นมา การที่เขาจะดุทุกคนให้ทำตามเขาให้ได้อย่างที่ต้องการคงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด อย่างไรก็ตามเขาก็คนนะคะ ซีคิดว่าชีวิตของเขามันจริงมาก มีทั้งมุมที่ตกต่ำมากๆ มุมที่งี่เง่าสุดๆ แต่มุมที่เขาลุกขึ้นมาอย่างสงบแล้วสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับโลก นั่นคือมุมดีที่ซีปลาบปลื้ม เพราะคนเราไม่สำคัญว่าคุณเป็นใคร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณได้ทำอะไรให้กับโลกนี้บ้างต่างหาก ก็เลยคิดว่าถ้ามีโอกาสได้คุยก็อยากคุยกับสตีฟ จ็อบส์ค่ะ

FYI:

ผลงานการจัดรายการของ ซี-ฉัตรปวีณ์ • รายการ Tech 24 Lively ช่อง จีสแควร์ ทรูวิชั่นส์ 26 ทุกวัน เวลา 20.00 น. • รายการ Tech2days ช่อง TPBS ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ • รายการ 168 ชั่วโมง ช่อง 3 พุธ 00.00-00.30 น. (ช่วง cee it) • รายการ IE Metropolis วันอาทิตย์ 8.00 น. ททบ.5 • รายการ Gizmo.Today บนเว็บไซต์ BuzzIdea.tv • รายการ Cyber City วันเสาร์ 10.55 ททบ.5 • รายการแบไต๋ ไฮเทค ช่อง Nation Channel วันอาทิตย์ 21.45 น. • รายการ Boys’ Toys วันเสาร์ 17.00 น. ททบ.5 • รายการ Nine Intrend วันจันทร์-พฤหัสฯ 22.15-22.20 น. ช่อง 9 • รายการอมยิ้ม วันจันทร์-พุธ 18.00-18.30 น. ช่อง 3 คู่กับ นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน • รายการ Hi Speed ช่อง Speed Channel ทรูวิชั่นส์ 72 ทุกวันอังคารและพฤหัสฯ เวลา 19.30-20.30 น. • รายการ WEEKLY C3 ช่วงย่อยในรายการข่าวเรื่องเด่นเย็นนี้ วันเสาร์-อาทิตย์ • รายการ IT’S IT ช่อง 8 Infinity วันอาทิตย์ 09.30-10.00 น. • รายการ MIE TV PSI CHANNEL สาระดี 24 ชั่วโมง วันอาทิตย์ 10.00-10.30 น.

Link Source : https://men.mthai.com/men-around/37251.html

ซี ฉัตร ป วี ณ์ ชุด ชั้น ใน, ซี ฉัตรปวีณ์ ig, ซี ฉัตรปวีณ์ ศัลยกรรม, ซี ฉัตรปวีณ์ pantip, ซี ฉัตร ป วี ณ์ มี ลูก, ซี ฉัตรปวีณ์ ลูก, ซี ฉัตร ป วี ณ์ it, ซี ฉัตรปวีณ์ แต่งงาน, ซี ฉัตรปวีณ์ สามี

No comments:

Post a Comment