'บรูไน' ผู้ครองอุตฯบ่อน้ำมันรายใหญ่ในอาเซียน
บรูไน ดารุสซาลาม ดินแดนของชาวมุสลิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งใน 10 สมาชิกกลุ่มอาเซียน ผู้ครองอุตสาหกรรมบ่อน้ำมันรายใหญ่บ่อน้ำมันในประเทศ
กลับมาพบกันอีกครั้ง สำหรับบทความที่ติดตามความเคลื่อนไหว ทั้งจุดเด่น และท่าไม้ตายของประเทศที่เป็นอนาคตของสมาชิกกลุ่มประชาคมอาเซียน ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ ที่กำหนดให้ประเทศนั้น ๆ มีอำนาจการต่อรอง และความได้เปรียบเสียเปรียบในเวทีการค้ากลุ่ม ที่ทางทีมข่าว MThai ได้รวบรวมไว้ใน ‘เปลี่ยนฟ้าบูรพาภิวัฒน์’ ตอนที่สอง
จะพูดถึงหนึ่งในประเทศสมาชิกกลุ่ม ที่มีทรัพยากรอันล้ำค่าอย่าง ‘บ่อน้ำมัน’ ซึ่งเป็นรายได้หลักในการส่งออกของประเทศบรูไน นับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน และสร้างมูลค่ามหาศาล ให้บรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยติดอันดับของกลุ่มก็ว่าได้
เมื่อพูดถึงสินค้าส่งออกของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) อนาคตสมาชิกประเทศหนึ่งเดียวในกลุ่มประชาคมอาเซียน ที่มีบ่อน้ำมัน และแหล่งก๊าซธรรมชาติเป็นของตนเองอย่างเบ็ดเสร็จ
นอกจากนี้เป็นที่ประจักษ์กันดีว่า ประเทศที่มีบ่อน้ำมันเป็นของตนเอง ดังเช่นประเทศในแถบตะวันออกกลาง ที่ยังล้าหลังกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ในหลายด้าน แต่กลับร่ำรวยจากรายได้จากการค้าน้ำมัน และส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ เป็นตัวอย่างในการสร้างรายได้มหาศาล เป็นที่มาของความมั่งคั่งในภูมิภาคดังกล่าว
บรูไนก็เช่นกัน เนื่องจากปัจจัยดังกล่าว ได้ทำให้บรูไนกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกที่น่าจับตามองที่สุดประเทศหนึ่งในอาเซียนก็ว่าได้
แรกเริ่มเดิมที บรูไนเป็นประเทศที่เลื่องชื่อในฐานะประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่อุดมไปด้วยปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงมีสินค้าจำพวกเชื้อเพลิงเป็นพระเอกในด้านการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
ในอดีตช่วงปี 1940 การผลิตน้ำมันในบรูไนสามารถผลิตได้ถึง 17,000 บาร์เรลต่อวัน แม้จะเจอช่วงมรสุมในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เจอปัญหาหนักจากภัยสงคราม ทำให้บ่อน้ำมันได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ปริมาณในการผลิตยังคงสามารถผลิตในประเทศได้ ยังคงทำได้ถึง 15,000 บาร์เรลต่อวัน
ความโชคดียังไม่หยุดยั้ง เนื่องจากในปี 1972 บรูไนได้กลายเป็นประเทศที่มีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ขนาดใหญ่แห่งแรกของโลก บนชายฝั่งของประเทศ เป็นการนำร่องมาตรฐานใหม่ ในเทคโนโลยีวิศวกรทางด้านพลังงานเชื้อเพลิง ที่สามารถจัดการก๊าซของเหลวได้อย่างปลอดภัย และสามารถจัดส่งในระยะไกลได้
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี บรูไนสามารถส่งก๊าซธรรมชาติไปไกลถึงประเทศญี่ปุ่นได้ เป็นแบบจำลองทางด้านกิจการที่มีความคล้ายคลึงไม่เพียงแต่ในภูมิภาค แต่ยังเป็นตัวแม่แบบให้กับภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงทั่วโลก
ประจวบเหมาะกับการค้นพบบ่อน้ำมันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถผลิตน้ำมันได้ถึง 2.5 แสนบาร์เรลต่อวัน จุดเปลี่ยนแปลงสำคัญ เริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ. 1991 ซึ่งเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์การผลิตน้ำมันของบรูไน และเป็นจุดเปลี่ยนผ่านให้บรูไนสามารถผลิตน้ำมัน ได้สูงถึง 1 พันล้านบาร์เรล
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ค.ศ. 1991 บรูไนจึงได้สร้าง The Billionth Barrel Monument ไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จนี้ ภายใต้การบัญชาการโดย สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ ตำแหน่งราชาธิบดีแห่งบรูไนในปัจจุบัน
จากนั้นในปี 1993 บรูไนได้จัดตั้ง Brunei Oil and Gas Authority (BOGA) ขึ้นอย่างเป็นทางการ และได้จัดตั้ง Brunei National Petroleum Company Sdn. Bhd. ขึ้นใน ค.ศ. 2001 ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งบริษัท โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดีเป็นผู้บริหารผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี และ ค.ศ 2005 ได้มีการจัดตั้งกระทรวงพลังงาน ภายใต้การดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี
แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่บรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวย และมีความมั่งคั่งทางด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นประเทศที่ดึงดูดผู้ประกอบการจากทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งรายได้จากการส่งออกน้ำมัน และปิโตรเลียม ถือเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้จากทั้งประเทศ จีดีพีในประเทศจึงวัดเป็นค่าที่ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม บรูไนเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันสามารถผลิตน้ำมันเฉลี่ยประมาณ 180,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ยังเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว รายใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
ติดตาม ‘เปลี่ยนฟ้าบูรพาภิวัฒน์’ ตอนอื่น ๆ ได้ ที่นี่
MThai News
ที่มา bsp
No comments:
Post a Comment