เช็คบทบาท 'พลังงานถ่านหิน' ในต่างแดน ชาติมหาอำนาจลดผลิต ไทยขยับสร้าง!!
สำหรับประเด็นร้อนแรงเกี่ยวกับกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ที่ทางกระทรวงพลังงาน และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกันเดินหน้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ โดยระบุว่า เป็นการเพิ่มความมั่นคงให้ระบบไฟฟ้าภาคใต้
ในประเทศไทยนั้นถึงแม้จะมีปริมาณสำรองถ่านหินอยู่มากกว่า 2,000 ล้านตัน แต่ส่วนใหญ่เป็นถ่านหินที่มีชั้นคุณภาพต่ำ ตั้งแต่ลิกไนต์ (Lignite) จนถึง ซับบิทูมินัส (Sub-bituminous) อีกทั้งภาพลักษณ์ที่ไม่ดีด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอดีตทำให้การใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมีปริมาณไม่มากหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
แต่เมื่อลองเปรียบเทียบกลยุทธ์ในการจัดสรรพลังงานในประเทศต่าง ๆ ที่แม้ในอดีต พลังงานจากถ่านหิน เป็นพลังงานที่มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตของคนในประเทศ แต่ในปัจจุบันมีจำนวนไม่น้อยที่เลือก ‘ปิดฉาก’ พลังงานในรูปแบบดังกล่าวลง
ในปี 2558 ยุคการปกครองชาติมหาอำนาจอย่าง สหรัฐฯ ของ โอบามา ได้ออก ‘กฎหมายพลังงานสะอาด’ ลดการใช้ถ่านหินและหันมาติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่าการใช้อุตสาหกรรมถ่านหินโดยมีเหตุผลเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตพลังงานไฟฟ้า แต่พลังงานถ่านหินก็ยังคงมีบทบาทในสหรัฐฯ อยู่กว่า 1 ใน 3 เพราะมีต้นทุนต่ำและมีอัตราความสามารถในการผลิตไฟฟ้าสูง ทั้งยังมีรายงานด้วยว่า ในปี 2556 ยุคการครองของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจาก “ถ่านหิน” เป็นร้อยละ 31
ขณะที่ ‘จีน’ เป็นประเทศที่มีแหล่งถ่านหินมากเป็นอันดับ 3 ของโลก ส่วนปริมาณถ่านหินที่ผลิตในจีน ครองพื้นที่จำนวนกว่าร้อยละ 30 ของการผลิตทั่วโลก แต่การผลิตใช้รองรับการใช้ในประเทศตัวเองเป็นหลัก เนื่องจากประชากรที่มากกว่า 1,300 ล้านคน นอกจากนั้นใช้ส่งออกไปยังญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
แต่กระนั้นการเป็นเจ้าแห่งการผลิตถ่านหินในจีน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในประเทศอย่างหนัก เมื่อสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น จึงเกิดการเคลื่อนไหวจากประชาชน จนกระทั่งรัฐต้อง ‘ปฏิวัติพลังงาน’ อย่างเร่งด่วน โดยลดการผลิตพลังงานจากถ่านหิน เปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทดแทนให้มากที่สุด และเร็วที่สุด
โดยล่าสุดมีรายงานข่าวว่า จีนได้สั่งยกเลิกโรงไฟฟ้าถ่านหิน 103 แห่ง โดยให้เหตุผลเพื่อลดความสูญเปล่าในการลงทุน และต้องการให้จีนออกจากความเป็นชาติพลังงานไฟฟ้ามลภาวะ และมุ่งไปสู่พลังงานใหม่ อาทิ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานนิวเคลียร์
ส่วนอินเดียซึ่งเป็นประเทศใหญ่อีกหนึ่งประเทศ ซึ่งกำลังเตรียมจะหยุดสร้างโรงไฟฟ้าในปี 2020 ซึ่งเป็นแผนใหม่การไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อลดมลพิษทางอากาศ
แต่กระนั้น บทบาทพลังงานถ่านหินในญี่ปุ่นค่อนข้างสวนทางกับประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ หลังจากเหตุแผ่นดินไหวและภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่นำไปสู่การระงับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกือบทุกแห่งในประเทศ จึงวางแผนจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 46 แห่งในอนาคต ซึ่งในระหว่างที่ยังไม่สามารถผลิตพลังงานเองได้อย่างเพียงพอ จึงอาศัยการนำเข้าจากประเทศจีนบางส่วน
รัฐบาลญี่ปุ่นให้เหตุผลว่า พลังงานถ่านหินเป็นพลังงานที่มีราคาถูกกว่า และเป็นตัวสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้ประเทศที่สำคัญ รวมถึงขณะนี้ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานกว่าร้อยละ 95 หากสามารถผลิตได้เอง จะสามารถพึ่งพาตนเองในด้านดังกล่าวได้
ส่วนทางด้านแดนหมีขาว อย่างรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศใหญ่ ถ่านหินถือเป็นแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่ลดกำลังการผลิตลงตั้งแต่ปี 2533 หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต รวมถึงมีการใช้พลังงานอื่น ๆ เช่น พลังงานนิวเคลียร์ และพลังงานน้ำมาทดแทน
เนื่องจากการเผาไหม้ถ่านหิน สร้างมลภาวะทางอากาศ และอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต และสุขภาพของมนุษย์ ทำให้ประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศมหาอำนาจโลก อย่างสหรัฐฯ และจีน ค่อย ๆ ลดปริมาณของพลังงานดังกล่าวลง รวมถึงสหราชอาณาจักร และแคนาดา วางแผนที่จะทำให้ปริมาณพลังงานถ่านหินค่อย ๆ หมดไปจากประเทศ
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่า ประเทศพัฒนาแล้ว รวมไปถึงประเทศมหาอำนาจใหญ่ ๆ ระดับโลก กำลังพยายามลดทอนพลังงานถ่านหินลง ซึ่งเหตุผลหลักมากจากผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม แต่เหตุไฉนประเทศไทยถึงดึงดันดั้นด้นคิดเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่
No comments:
Post a Comment